กองทุนตราสารหนี้ ก็ขาดทุนได้นะ…รู้ยัง?
กองทุนตราสารหนี้ … สิ่งที่หลายคนคิดว่าเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงต่ำสุด ๆ … โอกาสขาดทุนน่ะเหรอ…? ไม่มี๊!!! แต่คุณรู้ไหมว่ากองทุนตราสารหนี้ก็มีโอกาสขาดทุนได้เหมือนกัน
สาเหตุที่ผมหยิบยกเรื่องนี้มาพูดก็เพราะว่าช่วงเวลาที่คุณกำลังอ่านบทความอยู่ตอนนี้ ก็เป็นช่วงที่กองทุนตราสารหนี้หลายกองเริ่มขาดทุน เรื่องที่เกิดขึ้นนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกครับ มันเป็นเรื่องปกติของการลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ทุกประเภท ซึ่งก่อนจะไปดูว่าเกิดจากสาเหตุอะไร คุณต้องมาทำความเข้าใจเรื่องของตราสารหนี้กันก่อน
หลักการ “ขึ้น-ลง” ของราคาตราสารหนี้
สมมติว่าวันนี้คุณซื้อตราสารหนี้มา 100 บาท จ่ายดอกเบี้ย 1.50% ต่อปี และมีอายุตราสารฯ 3 ปี … เมื่อเวลาผ่านไป 1 ปี มีตราสารหนี้ออกใหม่ในตลาดจ่ายดอกเบี้ยที่ 2.00% ต่อปี และมีอายุตราสาร 2 ปี เท่ากับที่เหลืออยู่ของคุณ นั่นทำให้วันนี้ … หากคุณเอาตราสารหนี้ที่มีอยู่ในมือไปขายต่อให้คนอื่น คุณต้องยอมขายในราคาที่ต่ำกว่า 100 บาท เพื่อจูงใจให้คนอื่นมาซื้อไป เพราะหากขายที่ราคา 100 บาทเท่าทุน ใครจะมาซื้อล่ะ ? เพราะคนอื่น ๆ สามารถไปซื้อในตลาดแล้วได้ดอกเบี้ยตั้ง 2.00%
กลับกัน … ถ้าผ่านไป 1 ปี แล้วตราสารหนี้ออกใหม่ในตลาดจ่ายดอกเบี้ยที่ 1.00% ต่อปี ที่นี้ถ้าเราเอาของในมือที่จ่ายดอกเบี้ย 1.50% ไปขายต่อ เราจะขายได้ในราคาที่สูงกว่า 100 บาท “หรือมีกำไรจากส่วนต่างราคาตราสารหนี้” ครับ … ซึ่งตราสารหนี้ตัวไหนที่มีอายุตราสาร (Duration) มากกว่า ก็จะยิ่งได้รับผลกระทบจากการ “ขึ้น-ลง” ของดอกเบี้ยมากกว่า เพราะตัวที่มี Duration น้อยกว่า ก็แสดงว่าจะครบกำหนดไวกว่า และได้เงินต้นคืนไวกว่าครับ
ทีนี้คุณจะเห็นแล้วว่าตราสารหนี้ ไม่ว่าจะเป็นพันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้ หรือกองทุน ทั้งหมดล้วนแต่มีราคาตลาดที่เปลี่ยนแปลงตลอดครับ แต่ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงขึ้นลงเยอะ ๆ เหมือนกับหุ้นนะ ตราสารหนี้เหล่านี้ยังมีความเสี่ยงน้อยกว่าอยู่ดี ซึ่งก่อนหน้านี้ตลาดมีความกังวลเรื่องเศรษฐกิจโลก ญี่ปุ่นลดดอกเบี้ยจนติดลบ ฝั่งยุโรป และจีนก็ชะลอตัว พี่ไทยก็โดนหางเลขกับเศรษฐกิจโดยรวมที่ชะลอตัว เม็ดเงินเลยไหลเข้าสู่สิ่งปลอดภัยอย่างพันธบัตรฯ ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยลดลงมาโดยตลอด (ราคาตราสารหนี้เพิ่มขึ้น) แต่ตลาดเริ่มเปลี่ยนมุมมองเมื่อต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาโดยสาเหตุหลักที่ทำให้อัตราดอกเบี้ยในตลาดช่วงนี้ปรับตัวขึ้นก็อันเนื่องมาจาก
ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ส่งสัญญาณการปรับอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
นักลงทุนเริ่มมีมุมมองเป็นบวกกับเศรษฐกิจในประเทศมากขึ้น (GDP ไตรมาสแรกของไทยดีกว่าที่คาดไว้)
คาดการณ์ว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่กำหนดโดย กนง.อยู่ในจุดต่ำสูดแล้ว (ไม่น่าจะลดดอกเบี้ยลงอีก)
พันธบัตรระยะยาวของไทยปรับตัวต่ำเกินไป (แพงเกินไป) เมื่อเที่ยบกับพันธบัตรอเมริกา (เมื่อต้นเดือนเมษายน พันธบัตรไทย 10 ปี อัตราผลตอบแทน 1.6% ขณะที่ของอเมริกา 1.7%)
ประเด็นต่าง ๆ เหล่านี้เป็นสิ่งที่ทำให้ในช่วง 1 – 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา Government Bond Yield หรือผลตอบแทนจากพันธบัตรรัฐบาล ซึ่งทำหน้าที่เหมือนเป็นตราสารหนี้ที่ปลอดภัยมากที่สุด ให้ผลตอบแทนสูงขึ้น (มีคนขายมากขึ้น ทำให้ราคาพันธบัตรฯ ลดลง ในขณะที่ดอกเบี้ยยังจ่ายเท่าเดิม ทำให้ Yield หรืออัตราผลตอบแทนสูงขึ้น)
ซึ่งเหตุการณ์แบบนี้มักจะเป็นการบอกกลาย ๆ ว่า “กำลังมีแรงขายในตลาดตราสารหนี้อยู่”
และแน่นอนว่ามันจะส่งผลกระทบไปยังทุกคนที่ลงทุนในตราสารหนี้ … รวมถึงกองทุนด้วย นี่เป็นเหตุผลที่ช่วงนี้กองทุนตราสารหนี้ที่คุณถืออยู่ มูลค่า NAV แทบจะไม่เดิน ให้ผลตอบแทนน้อยลง และยิ่งถ้าเป็นกองทุนที่ลงทุนในตราสารหนี้ระยะยาว (Duration สูง) อาจถึงขั้นขาดทุนเลย
“แล้วจะทำไงดีล่ะ?”
อย่างที่ผมบอกไปเมื่อตอนต้นครับ … “Duration มากกว่า จะได้รับผลกระทบมากกว่า” เพราะงั้นช่วงนี้ทิศทางของดอกเบี้ยดู ๆ แล้วมีโอกาส “ขึ้น” มากกว่า “ลง” เพราะฉะนั้นหากคุณกำลังมองหากองทุนตราสารหนี้มาลงทุน คำแนะนำของผมคือ
“ลงทุนแบบสั้น ๆ กับกองทุนตลาดเงิน” – แบบนี้จะปลอดภัยกว่า แถมยังได้ลุ้นรับผลตอบแทนที่สูงขึ้น จากการปรับเพิ่มของอัตราดอกเบี้ย (กองทุนตลาดเงินที่แนะนำ)
“Lock ผลตอบแทน ด้วยกองทุนแบบ Fixed-term” – จริง ๆ จะมีกองทุนตราสารหนี้แบบที่กำหนดผลตอบแทนต่อปีมาให้เลย ว่าถ้าคุณลงทุนในกองทุนนี้ภายในระยะเวลาที่กำหนด (ไม่ขายออก) คุณจะ
ได้ผลตอบแทน X% ต่อปี (ลักษณะจะคล้าย ๆ กับการฝากประจำ) ซึ่งเราเรียกกองทุนแบบนี้ว่า Fixed-term Fund โดยปัจจุบันกองทุนแบบกำหนดระยะเวลา 3 เดือน มีผลตอบแทนให้เลือกตั้งแต่ 1.50% – 3.00% ต่อปี ไม่มีภาษี (ดูกองทุน Fixed-term ที่แนะนำ) (อย่าลืมดูไส้ในของกองด้วยครับ ว่าลงทุนอะไร ปัจจุบันมีกองทุนที่ลงทุนตราสารหนี้ต่ำกว่า Investment grade เพื่อเพิ่มผลตอบแทน แต่สิ่งที่ตามมาคือความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น)
เพราะงั้นจะเห็นว่าสภาวะตลาดแบบนี้ ความไม่แน่นอนของอัตราดอกเบี้ย ควรลงทุนแบบสั้น ๆ ไว้ก่อน เพราะเรากำลังคาดการ์ณว่าดอกเบี้ยจะเพิ่มขึ้นในอนาคตอันใกล้ การลงทุนในตราสารหนี้ที่มี Duration ต่ำ ๆ จะทำให้มีความเสี่ยงที่จะขาดทุนน้อยที่สุด แถมได้ลุ้นผลตอบแทนที่จะมากขึ้นจากการขึ้นของอัตราดอกเบี้ยครับ การลงทุนต้องมีความรู้ ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อผลประโยนช์ของนักลงทุนเอง