10 เรื่องควรรู้ ลงทุนในหุ้นเติบโต
1.หุ้นเติบโต (Growth Stock) คือ หุ้นที่ทำธุรกิจอยู่ในอุตสาหกรรมที่กำลังเติบโต ลองนึกถึง 10 ปีก่อน ช่วงที่การใช้งานโทรศัพท์มือถือกำลังแทนที่โทรศัพท์บ้านอย่างรวดเร็ว ช่วงที่ร้านสะดวกซื้อกำลังกินส่วนแบ่งตลาดแทนที่ร้านโชห่วยดั้งเดิมอย่างรวดเร็ว และช่วงที่พฤติกรรมของคนเมืองเปลี่ยนมาใช้งานรถไฟฟ้ามากขึ้นอย่างรวดเร็ว… นั่นคือช่วงเติบโตของธุรกิจมือถือ ธุรกิจค้าปลีก และธุรกิจขนส่งทางราง จะดีแค่ไหนถ้าเราได้มีส่วนในความเป็น “เจ้าของกิจการ” ในช่วงเวลาที่หอมหวานอย่างนั้น
2.กิจการที่เข้าสู่ช่วง Growth จะมีรายได้และกำไรเติบโตเร็ว ปีละ 15% ขึ้นไปต่อเนื่องอีกหลายๆ ปี โดยการเติบโตนี้อาจมาจากตัวธุรกิจที่ได้รับความต้องการสินค้าและบริการที่เพิ่มขึ้น (Demand Uptrend) หรืออาจจะเติบโตจากยอดขายและกำไรของธุรกิจเอง (Organic Growth) รวมถึงอาจเติบโตจากการควบรวมกิจการ (Non-Organic Growth) ก็เป็นได้
3.ลักษณะธุรกิจ เป็นธุรกิจที่อยู่ในช่วงขยายงานอย่างเห็นได้ชัด เช่น ธุรกิจค้าปลีกที่ยังมีแผนขยายสาขา ธุรกิจโรงพยาบาลที่ยังขยายสาขา เพิ่มจำนวนเตียงผู้ป่วย หรือธุรกิจรถไฟฟ้าและทางด่วนที่ยังขยายเส้นทาง รวมทั้งบางธุรกิจมีการทำ M&A ไล่ซื้อกิจการเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ดังนั้น ค่า P/E ของหุ้นเติบโตจึงมักจะสูงกว่าค่า P/E ของตลาดหลักทรัพย์ฯ เสมอ
4.หน้าที่ของนักลงทุน คือมองหากิจการที่ยังเติบโต… ที่มีการเติบโตสูง คล้ายๆ กับมนุษย์เงินเดือนดาวรุ่งที่ได้โปรโมททุกปี เงินเดือนขึ้นทุกปีๆ ละประมาณ 15-20% นี่คือมงคลชีวิต… กิจการก็เช่นกัน นักลงทุนต้องสะสมหุ้นของกิจการในลักษณะนั้นไว้ในพอร์ต รอเวลาที่การเติบโตจะแสดงออกมาทางงบการเงินอย่างต่อเนื่องหลายๆ ปี
5.อะไรคือตัวผลักดันให้กิจการยังเติบโตต่อไปได้อีกในอนาคต… เราเรียกสิ่งนั้นว่า ตัวผลักดันการเติบโตในอนาคต หรือ Future Growth Driver อย่าลืมว่าธุรกิจจะเติบโตได้ มีกฏหลักสองข้อ คือ หนึ่ง… ขายสินค้าเก่า ให้ลูกค้าใหม่ (New Market) และ สอง..ขายสินค้าใหม่ ให้ลูกค้าเก่า (New Product) ถ้าไม่มีแผนทั้งคู่ก็เตรียมปิดร้าน กลับบ้านไปนอนได้เลย
6.ถ้าบริษัทใด ไม่คิดจะสร้างสินค้าใหม่ หรือ ไม่มีความคิดจะไปสู่ตลาดใหม่ แสดงว่าในไม่ช้ารายได้และกำไรจะไม่โตอีกต่อไป ดังนั้นบริษัทที่เราคิดจะลงทุน ต้องมีตัวผลักดันการเติบโตบางอย่าง เช่น ขยันออกสินค้าใหม่ ขยันสร้างสินค้าที่เป็นนวัตกรรม ขยายกำลังการผลิต เพิ่มช่องทางการขาย เปิดตลาดใหม่ หรือ บุกตลาดใหม่ที่ไม่เคยมีใครจับมาก่อน ฯลฯ
7.นักลงทุนควรต้องตอบตัวเองให้ได้ว่า หุ้นที่กำลังจะลงทุนมี Future Growth Driver คืออะไร และควรที่จะหาข้อมูลจากบริษัทนั้นๆ โดยถามจากผู้บริหารในงาน Opportunity Day หรือ การประชุมผู้ถือหุ้น เพื่อที่จะยืนยันข้อมูลการวิเคราะห์ที่เรามี ว่ากิจการจะเติบโตต่อไป โดยที่เราไม่ได้สร้างมโนภาพไปเอง
8.ผมเคยได้ยินรุ่นพี่ในวงการลงทุน แชร์ไอเดียด้วยคำถามว่า “ระหว่างหุ้นแข็งแกร่งมีความชัวร์ แต่เติบโตช้า กับ หุ้นเติบโตสูงมีความแกว่งผันผวน แต่เติบโตเร็ว เราควรเลือกลงทุนกับหุ้นชนิดไหน?”
9.ความเห็นของรุ่นพี่ คือ จงเลือก “หุ้นเติบโต” เพราะหุ้นแข็งแกร่ง ประเภทหุ้นสามัญประจำบ้าน ที่เติบโตช้า แม้ความเสี่ยงขาลงจะต่ำ เช่น -20% แต่โอกาสขาขึ้นก็ต่ำด้วย เช่น 20-30% ในขณะที่หุ้นเติบโตสูง จะเป็นหุ้นที่น่าลงทุนมากกว่า เพราะแม้ว่าความเสี่ยงขาลงจะสูง ราคาอาจจะลดลงได้ 30-50% แต่โอกาสขาขึ้นมีสูงกว่ามาก ซึ่งอาจจะเป็นเท่าตัว หรือ หลายๆ เท่าตัวก็เป็นได้ เพื่อให้เห็นภาพชัดเจน อาจจะลองนึกถึงหุ้นเทคโนโลยี ที่เป็นหุ้นเติบโตสูงและมีความเหวี่ยงสูง ในตลาดหุ้นอเมริกาหรือตลาดหุ้นจีน ในช่วงสามปีที่ผ่านมาว่าเป็นอย่างไร
10.พอร์ตที่ประกอบไปด้วยหุ้นเติบโตสูงหลายๆ ตัว แม้จะมีความผันผวนมากกว่าในระยะสั้น แต่ที่สุดแล้ว ในระยะยาว จะวิ่งได้ไกลกว่า พอร์ตที่เต็มไปด้วยหุ้นแข็งแกร่งแต่โตช้า นักลงทุนที่ลงทุนเน้นแนวหุ้นเติบโต ต้องทำความเข้าใจและมั่นคงในหลักการ พร้อมตรวจสอบหุ้นในพอร์ตอยู่เสมอว่า สามารถเติบโตในระยะยาวได้จริง
สำหรับใครที่สนใจอยากคัดกรอง “หุ้นดี และเติบโต” ด้วยตนเอง ลองเข้าไปที่เว็บไซต์ www.setsmart.com ซึ่งตอนนี้ตลาดหลักทรัพย์ฯ เปิดโอกาสให้ได้ทดลองใช้งาน SETSMART ฟรี 15 วัน เพียงแค่สมัครเป็นสมาชิก SET Member เท่านั้น และหากใครที่ต้องการใช้ต่อ ก็มีค่าใช้จ่ายเพียง 250 บาทต่อเดือน ซึ่งเมื่อเทียบกับข้อมูลที่จะได้รับ เช่น ภาวะการซื้อขาย เทรนด์นักลงทุนต่างชาติ หรือข้อมูลหุ้น อนุพันธ์ และกองทุนรวม ครบจบในเว็บเดียว ก็ถือว่าคุ้มค่ามากเลย!!!